< นโยบายต่างประเทศของไทยยุคปัจจุบัน >
รัฐบาลประยุทธ์ได้ใช้ยุทธศาสตร์ทางการทูตในการสร้างตัวเลือกทางนโยบายใหม่ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับสหรัฐหรือสหภาพยุโรปแต่เพียงอย่างเดียว ในบรรดาตัวเลือกใหม่นี้ จีนมีความสำคัญมากที่สุด ทั้งในแง่การเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ในภูมิภาค (Rise of China) ยังไม่รวมถึงการที่จีนได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจของไทยเพิ่มมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จึงไม่แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับจีน เพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากโลกตะวันตก นับจากรัฐประหารไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ได้พบปะกับนักธุรกิจจีน ได้ส่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปสานสัมพันธ์กับจีน หรือแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์เองที่ได้มีโอกาสหารือกับผู้นำระดับสูงของจีน จนนำไปสู่ข้อตกลงความร่วมมือในการสร้างรถไฟความเร็วสูงในไทย
นอกไปจากจีนแล้ว ไทยยังต้องการเล่นไพ่อาเซียน โดยการต้อนรับและไปเยือนแขกสำคัญจากประเทศอาเซียน ทั้งจากพม่าและกัมพูชา ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศแล้วเช่นกัน ในกรณีของพม่านั้น ปัจจุบันพม่าเป็นประธานของอาเซียน และพม่าเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการเปิดประเทศและปฏิรูปการเมือง เพื่อที่จะนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์มองเห็นความสำคัญนี้ ในการเอาไทยเข้าไปอยู่ใน spotlight ของพม่า ที่กำลังได้รับการจับจ้องจากประชาคมโลก เพื่อต้องการสื่อสารว่าไทยกำลังเดินอยู่ในกระบวนการเดียวกับพม่าเช่นกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทหารออกมานำการสร้างประชาธิปไตย
แต่กลยุทธ์นี้อาจไม่ส่งผลดีต่อไทยนักเพราะในช่วงปีที่ผ่านมาพม่าก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องความล่าช้าในการปฏิรูปและความไม่จริงใจของกองทัพพม่าในการเปิดให้มีการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเสรี
นอกไปจากจีนแล้ว ไทยยังต้องการเล่นไพ่อาเซียน โดยการต้อนรับและไปเยือนแขกสำคัญจากประเทศอาเซียน ทั้งจากพม่าและกัมพูชา ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ได้เดินทางไปเยือนทั้งสองประเทศแล้วเช่นกัน ในกรณีของพม่านั้น ปัจจุบันพม่าเป็นประธานของอาเซียน และพม่าเองก็กำลังอยู่ในกระบวนการเปิดประเทศและปฏิรูปการเมือง เพื่อที่จะนำไปสู่การสร้างประชาธิปไตย พล.อ.ประยุทธ์มองเห็นความสำคัญนี้ ในการเอาไทยเข้าไปอยู่ใน spotlight ของพม่า ที่กำลังได้รับการจับจ้องจากประชาคมโลก เพื่อต้องการสื่อสารว่าไทยกำลังเดินอยู่ในกระบวนการเดียวกับพม่าเช่นกัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทหารออกมานำการสร้างประชาธิปไตย
แต่กลยุทธ์นี้อาจไม่ส่งผลดีต่อไทยนักเพราะในช่วงปีที่ผ่านมาพม่าก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเรื่องความล่าช้าในการปฏิรูปและความไม่จริงใจของกองทัพพม่าในการเปิดให้มีการพัฒนาประชาธิปไตยอย่างเสรี
ในส่วนการเยือนกัมพูชานั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ถือว่าเป็นเกมที่มีความสำคัญต่อประยุทธ์และต่อนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของกัมพูชาเช่นเดียวกัน ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ตั้งแต่เรื่องปราสาทเขาพระวิหารและปัญหาพรมแดนทางบกและทะเล รวมไปถึงความหวาดระแวงของไทยต่อรัฐบาลกัมพูชาในการโอบอุ้มคนเสื้อแดง ปัจจัยเหล่านี้ได้สร้างโอกาสให้ประยุทธ์ในการลดความระแวงที่มีอยู่ (แม้จะชั่วคราวก็ตาม) โดยการเสนอให้มีการปรับความสัมพันธ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความมั่นคงตามแนวชายแดน รัฐบาลประยุทธ์ไม่สามารถที่จะสร้างสงครามกับกัมพูชาในช่วงที่ความขัดแย้งทางการเมืองยังคงอยู่ ทางด้านกัมพูชานั้น ฐานเสียงที่สั่นคลอนของฮุนเซนอาจเป็นเหตุผลหลักของการปรับความสัมพันธ์กับไทย เช่นเดียวกันคือการสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดน ทั้งนี้ ฮุนเซนจำเป็นต้องปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมทางการเมืองใหม่ของไทยด้วย แม้หลายคนจะเชื่อมั่นว่า กัมพูชาสามารถที่จะพลิกนโยบายที่มีกับไทยได้ทุกเวลา หากว่าการพลิกผันนั้นจะสามารถสร้างผลประโยชน์กับรัฐบาลฮุนเซนได้
แต่นโยบายเหล่านี้คือจุดยืนของรัฐบาลประยุทธ์ในการค้นหาความชอบธรรมของระบอบทหารในระดับภูมิภาค เพื่อคานสมดุลกับการคว่ำบาตรของตะวันตก ความชอบธรรมนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการคว่ำบาตรจากตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจของโลก ในฐานะที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญๆ อาทิ ข้าว รถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การลงโทษของตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ชาวไทยจำนวนหนึ่งอาจได้รับผลกระทบนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อ คสช.และอาจนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมได้ ดังนั้น การคว่ำบาตรจากนานาชาติจึงมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับระดับความพอใจ (หรือไม่) ของประชาชนต่อรัฐบาลประยุทธ์ ยุทธวิธีหนึ่งที่ต้องการลดความเสี่ยงนี้ก็คือ การโอนเอียงไปหาจีนและการปรับความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่นโยบายเหล่านี้จะยั่งยืนหรือไม่คงต้องรอดูต่อไป ตะวันตกอาจไม่ยกระดับการคว่ำบาตร เพราะประเทศอย่างสหรัฐก็กังวลใจเช่นกันว่า การเหินห่างจากไทยจะเป็นการทำให้จีนเข้ามาเพิ่มอิทธิพลในไทยและในภูมิภาคมากขึ้น ตัวแปรจึงน่าจะอยู่ที่ตัวแสดงในภูมิภาคนี้เอง แม้จีนจะต้องการให้ความร่วมมือกับ คสช. แต่จีนก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลชินวัตร ดังเห็นได้จากการต้อนรับที่อบอุ่นเมื่อคราวที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ไปเยือนจีน ส่วนประเทศในอาเซียนนั้น แม้จะมีนโยบายการไม่แทรกแซงกิจการภายในกัน แต่ปีหน้า 2558 เป็นปีที่อาเซียนต้องการสร้างชุมชนที่ประสบความสำเร็จ การเพิกเฉยต่อวิกฤตการเมืองในไทยอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
แต่นโยบายเหล่านี้คือจุดยืนของรัฐบาลประยุทธ์ในการค้นหาความชอบธรรมของระบอบทหารในระดับภูมิภาค เพื่อคานสมดุลกับการคว่ำบาตรของตะวันตก ความชอบธรรมนั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะการคว่ำบาตรจากตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจของไทย ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจของโลก ในฐานะที่ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าที่สำคัญๆ อาทิ ข้าว รถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การลงโทษของตะวันตกอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ชาวไทยจำนวนหนึ่งอาจได้รับผลกระทบนี้ ซึ่งจะนำไปสู่ความไม่พอใจที่เพิ่มมากขึ้นต่อ คสช.และอาจนำไปสู่วิกฤตความชอบธรรมได้ ดังนั้น การคว่ำบาตรจากนานาชาติจึงมีความเกี่ยวโยงโดยตรงกับระดับความพอใจ (หรือไม่) ของประชาชนต่อรัฐบาลประยุทธ์ ยุทธวิธีหนึ่งที่ต้องการลดความเสี่ยงนี้ก็คือ การโอนเอียงไปหาจีนและการปรับความสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่นโยบายเหล่านี้จะยั่งยืนหรือไม่คงต้องรอดูต่อไป ตะวันตกอาจไม่ยกระดับการคว่ำบาตร เพราะประเทศอย่างสหรัฐก็กังวลใจเช่นกันว่า การเหินห่างจากไทยจะเป็นการทำให้จีนเข้ามาเพิ่มอิทธิพลในไทยและในภูมิภาคมากขึ้น ตัวแปรจึงน่าจะอยู่ที่ตัวแสดงในภูมิภาคนี้เอง แม้จีนจะต้องการให้ความร่วมมือกับ คสช. แต่จีนก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลชินวัตร ดังเห็นได้จากการต้อนรับที่อบอุ่นเมื่อคราวที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์ไปเยือนจีน ส่วนประเทศในอาเซียนนั้น แม้จะมีนโยบายการไม่แทรกแซงกิจการภายในกัน แต่ปีหน้า 2558 เป็นปีที่อาเซียนต้องการสร้างชุมชนที่ประสบความสำเร็จ การเพิกเฉยต่อวิกฤตการเมืองในไทยอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในระดับหนึ่ง
**ทางออกของไทยต่อสถานการณ์เหล่านี้จึงน่าจะอยู่ที่การกลับคืนไปสู่ระบอบประชาธิปไตยได้เร็วมากน้อยเพียงใด**
เป็นความรู้มากเลยครับ
ตอบลบ